◊ บทความ ‘สมศักดิ์’ : นิธิ เอียวศรีวงศ์ กำลังรับใช้ทางการเมืองต่อคณะรัฐประหาร


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความขนาดสั้นถึง ‘ประชาไท’ เพื่อวิจารณ์ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ แห่งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ในแบบฉบับเฉพาะของตัวเอง >>


ในสมัยรัฐบาลทักษิณและนักการเมืองเลือกตั้ง การวิจารณ์ของนักวิชาการอย่างรุนแรงต่อคนเหล่านี้ (‘ระบอบทักษิณ’, ‘นักเลือกตั้ง’ ฯลฯ) โดยไม่ยอมเอ่ยถึงกลุ่มอำนาจดำมืดอื่นๆ เป็นสิ่งที่ควรวิพากษ์ ยิ่งถ้าการวิจารณ์กลุ่มแรกอย่างรุนแรง ทำไปควบคู่กับการอ่อนข้อ หรือวาดภาพสวยงามให้กับกลุ่มหลัง ก็ยิ่งต้องประณามคัดค้าน


แต่ตราบเท่าที่ไม่ถึงขั้นสร้างภาพสวยงามให้กับกลุ่มอำนาจดำมืดอื่นๆ การวิจารณ์รัฐบาลและนักการเมืองเลือกตั้ง โดยไม่พูดถึงกลุ่มอื่น ไม่ว่าจะสุดขั้ว ขาดสัดส่วนมุมมองที่ถูกต้อง อย่างไร ก็ยังอาจจะแก้ตัวได้ (และยังอาจจะพอ ‘เข้าใจได้’) เพราะกลุ่มนักการเมืองคือผู้ครองอำนาจอยู่ จึงวิจารณ์แต่กลุ่มนี้ (ความจริง การครองอำนาจของนักการเมืองไม่ใช่การครองอำนาจทั้งหมด และไม่ใช่ส่วนที่สำคัญมากของอำนาจรัฐคือกำลังจัดตั้งติดอาวุธและบางส่วนอื่นอีก ดังเหตุการณ์รัฐประหารได้พิสูจน์ให้เห็น)


แต่เมื่อเกิดการรัฐประหาร ใช้อาวุธและความรุนแรงเข้าข่มขืนการเมือง และจัดตั้งรัฐบาลสมุนขึ้น การเขียนวิจารณ์รัฐบาลและนักการเมืองเลือกตั้งที่ล้มไปแล้ว โดยไม่ยอมวิจารณ์หรือแตะต้องพวกข่มขืนทางการเมืองด้วยเลย เป็นการแสดงความขี้ขลาดตาขาว ฉวยโอกาสทางการเมือง สะท้อนความเป็นนักวิชาการประชาธิปไตยจอมปลอม


การวิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ในลักษณะที่เป็นข้อแก้ตัวให้กับการทำรัฐประหาร แบบที่เสน่ห์ หรือ ชัยวัฒน์ ทำ (“รัฐบาลทักษิณฉีกรัฐธรรมนูญทำลายประชาธิปไตยไปนานแล้ว การรัฐประหารจึงไม่อาจนับได้ว่าเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทำลายประชาธิปไตย”) แม้จะตามด้วยคำพูดแบบอ่อยๆว่า “แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารนะ” เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจแบบข่มขืนการเมือง เป็นเรื่องที่ควรถูกประณาม


ใน มติชน วันนี้ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เขียนบทความที่ในทางการเมือง แย่ยิ่งกว่าการกระทำที่เพิ่งกล่าวไปนี้ (ของเสน่ห์และชัยวัฒน์) คือ ไมเพียงแต่ไม่มีคำประเภท ‘ผมไม่เห็นด้วย’ ‘ผมขอประนามคัดค้าน’ หรือ ไม่มีถ้อยคำเชิงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นแม้แต่คำเดียวต่อการรัฐประหารเท่านั้น หากนิธิยังเขียนให้เกิดภาพลวงว่า คณะรัฐประหารและรัฐบาลสมุนที่ตั้งขึ้น มีความชอบธรรมที่จะจัดการกับ ‘ปัญหา’ (ความ ‘จอมปลอม’) ของรัฐบาลทักษิณ


ในบทความนี้ นิธิได้ประณามทักษิณว่าเป็น ‘ประชานิยมจอมปลอม’ …


แต่ไหนล่ะคำวิจารณ์-ประณามประเภทเดียวกันนี้กับคณะรัฐประหารและรัฐบาลสมุน?


นอกเหนือจากความขี้ขลาด ไม่กล้าใช้คำหรือภาษาแบบเดียวกันนี้กับผู้ถือปืนข่มขืนทางการเมืองแล้ว นิธิกำลังมอมเมาคนอ่านให้คล้อยตามในด้านกลับว่า พวกหลังคือพวก ‘ตัวจริง’


แต่แท้จริงแล้ว พวกยึดอำนาจปัจจุบ้นนี้เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่ ‘จอมปลอม’ (‘ปฏิรูป’ จอมปลอม และอื่นๆ แทบทุกเรื่อง จอมปลอม)?


นอกจากช่วยประณามรัฐบาลเลือกตั้ง แทนให้กับคณะรัฐประหาร เช่นนี้แล้ว นิธิยังได้แนะนำรัฐบาลสมุนคณะรัฐประหารว่า ควรทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นการ “เปิดโอกาสให้นักการเมืองแบบคุณทักษิณกลับเข้ามารวบอำนาจใหม่”


แต่ไหนล่ะข้อเสนอไม่ให้คนอย่างนักข่มขืนอำนาจรัฐด้วยอาวุธและรัฐบาลสมุน ‘กลับเข้ามารวบอำนาจใหม่’?


การเขียนเช่นนี้ เท่ากับว่า พวกคณะรัฐประหารที่ใช้อาวุธและความรุนแรงเข้ามา มีความชอบธรรมยิ่งเสียกว่ารัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามา (คือเป็นพวกที่ควรจะมาจัดการกับความ ‘จอมปลอม’ ของรัฐบาลเลือกตั้งได้ และการไม่มีข้อเสนอว่า ทำอย่างไรจึงจะ ไม่ให้พวกนี้เองกลับเข้ามาอีก แปลว่า อะไร? แปลว่า ถ้ามี ‘นักการเมืองอย่างทักษิณ’ กลับมา พวกหลังนี้ ก็ชอบธรรมที่จะกลับมาได้อีก?)\


ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เพิ่งเกิดการรัฐประหารไปไม่กี่วัน และคณะรัฐประหารพยายามสร้างความชอบธรรมหลอกลวงคนด้วยการตั้ง ‘รัฐบาลพลเรือน’ ‘รัฐบาลชั่วคราว’ ขึ้น บทความของนิธินี้ คือการรับใช้ทางการเมืองต่อคณะรัฐประหารและรัฐบาลสมุน


“รัฐประหารเรื่องเล็ก เรามาด่านักการเมืองต่อกันเถอะ”
ในทางการเมืองและทางปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ นิธิ บอกคนอ่านมติชนวันนี้ :“รัฐประหารเหรอ? เรื่องเล็ก เรามาด่านักการเมืองต่อกันเถอะ”

“เรามาช่วยกันคิดว่า ทำยังไงจะไม่ให้ไอ้พวกนักการเมืองพวกนั้นมันกลับมาใหม่”

“อ้อ! คณะรัฐประหาร กับ รัฐบาลที่คณะรัฐประหาร ตั้งขึ้น น่ะเหรอ?”

“ไม่เป็นไรๆ ก็มาช่วยกันคิดได้…”

“มาๆ มาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไง ไม่ให้ไอ้พวกนักการเมืองจอมปลอม มันกลับมาอีก…”

“รัฐประหารเหรอ? … เรื่องเล็กๆ (ยังไงก็เกิดไปแล้ว ผมบอกแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ)…ไว้วันหลังค่อยคุยกัน.. เรื่องเล็กๆ…

“มีอะไรที่ ‘จอมปลอม’ ยิ่งกว่านี้?


……

ข่าวประกอบ


บทความโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ (มติชน 9 ต.ค.49) : สู้กับประชานิยมจอมปลอม

(จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2549)
นโยบายของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกกันว่า “ประชานิยม” นั้น ประกอบด้วยด้านต่างๆ คือ


ก.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ที่เด่นที่สุดของด้านนี้คือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ถ้าถือความพอใจของผู้รับบริการเป็นตัววัด ก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จในขั้นหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซ่อนปัญหาไว้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอันมาก ด้วยเหตุผลสองประการที่สำคัญ คือ1.การบริหารจัดการที่ปรับปรุงไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ปัญหาด้านบุคลากร, การส่งต่อ, งบประมาณ, ฯลฯ 2.ความสำเร็จของโครงการอยู่ที่ฐานคือสังคมที่มีสุขภาพ แม้ว่ารัฐบาลไทยรักไทยเข้าใจประเด็นนี้ในภายหลัง แต่ก็สร้างสังคมสุขภาพได้เพียงการรำไม้พลองในหมู่บ้าน เพราะสังคมสุขภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ท่ามกลางบริโภคนิยมที่รัฐบาลช่วยเร่งเร้าในทางอ้อม, ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคมที่เปิดให้สร้างมลภาวะและวางระบบที่เอื้อต่อการสร้างมลภาวะ, ในสังคมที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้, ในสังคมที่อำนาจมีแหล่งกำเนิดที่มาจากเส้นสาย ไม่ใช่ความชอบธรรม ฯลฯ

หมายความว่าสุขภาพจะได้รับการประกันถ้วนหน้าจริงในทางปฏิบัติ มีความหมายกว้างกว่าโรงพยาบาล แต่รวมไปถึงการเข้าไปจัดการกับตัวระบบสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง และวัฒนธรรม อันเป็นพื้นฐานของระบบซึ่งคุณทักษิณไม่เคยแตะเลย

ข.การเข้าถึงทุน เช่นโครงการเอสเอมอี, เอสเอมแอล, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน, การพักชำระหนี้, รวมทั้งการให้กู้ยืมเพื่อซื้อเครื่องมือการผลิตเช่นแท็กซี่ หรือโครงการเอื้ออาทรต่างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่ผู้รับไม่สามารถเอาไป “ผลิต” อะไรได้)

เป็นความเชื่อมานานในสังคมไทยแล้วว่า ที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเงยหน้าอ้าปากได้ก็เพราะเข้าไม่ถึงทุน จึงไม่อาจก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ได้มากไปกว่าแรงงานไร้ฝีมือ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับ “ทุน” ที่คุณทักษิณวางเป็นแนวของนโยบายออกจะแคบเกินไป เพราะเน้นหนักที่เงินเพียงด้านเดียว ผลก็คือจำนวนมากจนถึงส่วนใหญ่ของกลุ่มเป้าหมาย ไม่มีความสามารถจะพัฒนาทุนประเภทนี้ได้ เนื่องจากขาดทักษะ ส่วนใหญ่ไม่ประสงค์จะเข้าไปใช้บริการเพราะไม่ต้องการภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น อีกไม่น้อยรับบริการแล้วไม่สามารถส่งคืนได้ โดยเฉพาะในกองทุนหมู่บ้าน

ที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นก็คือ รัฐบาล ทรท.ไม่ได้คิดถึงเรื่องการกระจายแหล่งทุนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลก็คือทุนที่อัดลงไปจำนวนมากกระจุกอยู่กับกลุ่มชนชั้นนำในชนบทและเครือญาติบริวาร หรือมิฉะนั้นก็กระจุกอยู่กับกลุ่มที่เข้าถึงทุนอยู่แล้ว มากกว่าคนที่มีศักยภาพจะใช้ทุนที่เป็นเงิน แต่ไร้อำนาจ

อันที่จริง ทุนมีความหมายกว้างกว่าเงิน ทุนเคยกระจายในชนบทกว้างขวางกว่านี้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของที่ดิน, ทักษะ, ทรัพยากรสาธารณะ, เครือข่ายทางสังคมซึ่งอาจแปรเปลี่ยนเป็นเครือข่ายทางธุรกิจ, ฯลฯ แต่ทุนเหล่านี้หลุดไปจากมือของประชาชนส่วนใหญ่ เนื่องจากนโยบายพัฒนาที่เร่งรัดก้าวเข้าสู่ทุนนิยมอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมเลย การเปิดโอกาสให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงทุน จึงไม่จำกัดอยู่แต่เรื่องเงินอย่างเดียว หากที่สำคัญกว่าคือปกป้องและฟื้นฟูทุนที่เขามีทักษะจะพัฒนาได้ประเภทนี้มากกว่า แต่การกระทำเช่นนี้ทำได้ยากกว่ากันมาก และเสี่ยงกับการขัดขวางผลประโยชน์ของกลุ่มที่แย่งยื้อเอาทุนของชาวบ้านไปครอบครอง อันประกอบขึ้นเป็นหัวคะแนนของพรรค ทรท.ไปจนถึงแกนนำพรรคทั้งหมด

ค.การสร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ชาวบ้าน

ที่แตกต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ก็คือโครงการโอท็อป มีผลิตภัณฑ์ชาวบ้านที่อาจถือได้ว่าประสบความสำเร็จจำนวนหนึ่ง แต่ไม่แน่ชัดนักว่าที่สามารถสร้างตลาดของตนได้นั้น เป็นเพราะนโยบายหรือเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับนโยบาย (คือถึงไม่มีนโยบายผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว) ยิ่งไปกว่านั้น หากดูว่าโครงการโอท็อป ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นเพื่อแปรรูปมากน้อยเพียงใด จะพบว่ามีน้อยมากอย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่นับรวมผลิตภัณฑ์ที่มีชื่ออยู่แล้ว และโอท็อปไปขอปะชื่อในภายหลังด้วย

ตลาดของผลิตภัณฑ์โอท็อปจะขยายตัวได้ หลีกไม่พ้นที่ต้องเชื่อมต่อกับธุรกิจค้าปลีก แต่ธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะในเมืองไทยมีลักษณะรวมศูนย์มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเอารัดเอาเปรียบผู้ผลิต แม้แต่ผู้ผลิตรายใหญ่ ปราศจากการจัดการและการควบคุมในระดับหนึ่ง สินค้าโอท็อปไม่มีทางเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ไปกว่าตลาดท่องเที่ยวและสินค้าที่ระลึก หากคิดว่าผลิตภัณฑ์โอท็อปมุ่งตลาดเฉพาะ (niche market) คำถามคือชาวบ้านจะเข้าถึงตลาดเฉพาะได้อย่างไร

โดยสรุปก็คือ โครงการโอท็อปไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเงินลงทุนจำนวนมหาศาล นอกจากเปิดให้นักธุรกิจในชนบทให้เข้าสู่วงจรธุรกิจเป็นบางราย แต่ไม่ได้สร้างเถ้าแก่, ไม่ได้สร้างการกระจายงานในชนบท, และไม่ได้สร้างการแปรรูปผลผลิตด้านการเกษตรอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เหตุผลก็เพราะรัฐบาล ทรท.ไม่กล้าเข้าไปแตะถึงด้านโครงสร้าง

ง.การศึกษา

จะพูดว่านี่เป็นด้านที่คุณทักษิณล้มเหลวที่สุดก็ได้ เพราะนโยบายด้านการศึกษาไม่ได้เปิดให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษากว้างขวางขึ้น (ไปกว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและกฎหมายซึ่งเร่งรัดให้การศึกษาขยายตัวอยู่แล้ว) แต่กลับสร้างความใฝ่ฝันสำหรับคนส่วนน้อยยัดเข้าไปในระบบการศึกษา ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงให้มีความไม่เป็นธรรมอยู่ได้ด้วยการแข่งขันทะยานไปสู่ความใฝ่ฝันสำหรับคนส่วนน้อยอยู่แล้ว โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งนักเรียนนอกก็ตาม โครงการโรงเรียนในฝันก็ตาม หรือแม้แต่โครงการสมิธโซเนียนก็ตาม ล้วนไม่ได้ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในชีวิตของผู้คน มาตรฐานคุณภาพของการศึกษาในระบบต่ำลงทุกระดับ

สื่อสำคัญในชีวิตคนคือทีวีก็ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม ศูนย์การเรียนรู้ของชาวบ้านไม่ได้รับการส่งเสริม ฯลฯ

ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า นโยบาย “ประชานิยม” ของคุณทักษิณ ไม่ได้มีผลประโยชน์ของ “ประชา” เป็นเป้าหมาย เท่ากับคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง แม้กระนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณทักษิณได้คะแนนเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้น และกลายเป็นความระแวงของคณะทหารที่ทำการรัฐประหารในทุกวันนี้ เพราะพลัง “มวลชน” ที่อาจหนุนหลังผู้ที่ต้องการทำรัฐประหารซ้อน

รัฐบาลชั่วคราว (รวมไปถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในภายหน้าด้วย) จะสู้กับ “ประชานิยม” แบบของคุณทักษิณอย่างไร อันจะเป็นการ “ปลดอาวุธ” คุณทักษิณและบริวารอย่างถาวร

ประการแรก ต้องไม่ด่วนสรุปก่อนว่า ผู้ที่สนับสนุน “ประชานิยม” ของคุณทักษิณคือ คนโง่-จน-เจ็บ แม้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในชนบท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน แท้จริงแล้ว อาจแบ่งออกได้หยาบๆ เป็นสองกลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้ไม่ใช่คนจนของหมู่บ้าน ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะร่วมอยู่ในเครือข่ายทั้งทางธุรกิจและการเมืองกับผู้มีอำนาจระดับต่างๆ เขาทำหน้าที่เป็นหัวคะแนนเสียงในการเลือกตั้งมานานก่อนจะมีพรรค ทรท.เสียอีก และเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการ “ประชานิยม” ของคุณทักษิณมากที่สุด

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง แม้เป็นคนจนและไร้กำลังทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการ “ประชานิยม” นัก หากทว่ามีชีวิตในเครือข่ายอุปถัมภ์ของกลุ่มแรก หรือมิฉะนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับกลุ่มแรกซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในหมู่บ้าน จึงอาจ “ขอกันกิน” ได้บ้าง เช่น หากให้ค่าตอบแทนที่ไม่ทำให้สูญเสียเกินไป ก็พร้อมจะร่วมชุมนุมทางการเมืองตามที่กลุ่มแรกร้องขอ และนี่คือพลัง “มวลชน” ที่แท้จริงของผู้ที่สนับสนุนคุณทักษิณ

แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าโครงการ “ประชานิยม” ทั้งหลายนั้น ไม่ได้มุ่งจะถ่ายโอนทรัพยากรกลางมาแบ่งปันให้เขา หากเอามาหล่อเลี้ยงบริษัทบริวารซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้ได้เปรียบอยู่แล้วในชนบทต่างหาก แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเช่นกัน เพราะรัฐบาลอื่นก็ไม่เคยถ่ายโอนทรัพยากรกลางมาแบ่งปันให้เขาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของนักการเมืองต้องทุจริตคดโกงงบประมาณมาปรนเปรอหัวคะแนนเองต่างหาก

และด้วยเหตุดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลชั่วคราวจะต้องทำในประการที่สองก็คือ การทำโครงการประชานิยมที่ทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียมหรือดีกว่ากลุ่มคนที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ประชานิยมที่แท้จริงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มุ่งหมายเพียงกวาดคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเท่านั้น

แต่จุดมุ่งหมายใหญ่คือทำให้คนระดับล่างมีกำลังจะพัฒนาตนเอง โดยการเพิ่มขีดความสามารถของเขาในการพัฒนา

นโยบายประชานิยมที่แท้จริงสำหรับเมืองไทย จึงต้องประกอบด้วย

1.การปฏิรูปที่ดิน เพื่อกระจายทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดนี้ให้ถึงมือผู้ที่มีความสามารถจะใช้ประโยชน์ การเก็งกำไรที่ดินจะไม่มีวันได้ผลตอบแทนคุ้ม เพราะจะต้องเสียภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และเสียภาษีรายได้ในรูปกำไรจากที่ดินในการซื้อขายอย่างหนัก

2.การกระจายอำนาจต้องหมายถึงการให้อำนาจแก่ประชาชนหรือองค์กรประชาชนมีส่วนในการตัดสินใจอนุรักษ์, ใช้ประโยชน์ และจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น

3.การเปิดโอกาสทางการศึกษาที่ฟรีจริงๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรียกว่าบำรุงการศึกษา, ห้องสมุด, สมาคมศิษย์เก่า, วัสดุอุปกรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

4.ทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครบวงจร มีการบริหารจัดการเพื่อให้โรงพยาบาลสามารถให้บริการที่ดีและเท่าเทียมกันได้จริง ในขณะที่ทำให้ในโรงงาน, ชุมชน, เมือง, และประเทศของเราทั้งประเทศเป็นทำเลที่มีสุขภาพอย่างแท้จริง หรือประกาศและบังคับใช้นโยบายสังคมสุขภาพแก่ทุกฝ่ายในประเทศไทย

5.ต้องให้ความคุ้มครองแรงงานแก่แรงงานทุกประเภท เพราะงานจ้างกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของประชาชนทั่วไปเสียแล้ว ฯลฯ

สรุปก็คือ “ประชานิยม” จอมปลอมของคุณทักษิณต้องถูกตอบโต้ด้วยประชานิยมแท้จริง นั่นคือมาตรการทางกฎหมาย, ทางสังคม และทางการเมืองที่จะสร้างความเป็นธรรมขึ้นในสังคม เพื่อให้คนเสียเปรียบซึ่งเป็นเหยื่อของ “ประชานิยม” จอมปลอมได้มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากในสังคมนี้

การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพประชาชนด้วยความระแวงต่อการท้าทายอำนาจ เป็นมาตรการที่ให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากความอึดอัดปะทุขึ้นมาเมื่อไร จะกลายเป็นเหตุนองเลือดที่น่าเศร้าสลด และเปิดโอกาสให้นักการเมืองแบบคุณทักษิณกลับเข้ามารวบอำนาจใหม่ เพราะประชาชนไม่มีโอกาสได้เรียนรู้และร่วมกำกับนโยบาย “ประชานิยม” ที่จะมีผลดีต่อตนโดยตรง จึงง่ายที่จะหลงไปกับการโป้ปดมดเท็จของนักการเมืองแบบนั้น

2 thoughts on “◊ บทความ ‘สมศักดิ์’ : นิธิ เอียวศรีวงศ์ กำลังรับใช้ทางการเมืองต่อคณะรัฐประหาร

  1. อยากถามนิธิว่า
    1.การเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตัวเองขณะเป็นนายกผิดหรือไม่
    2.ทักษิณเป็นอย่างข้อ1.หรือไม่
    3.ที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าถ้าชนะเลือกตั้งจะนิรโทษกรรมเอาทักษิณกลับมาเป็นนายกแปลว่า การชนะเลือกตั้งสามารถทำให้คนทำผิดกลายเป็นไม่ผิดใช่หรือไม่
    4.ต่อไปถ้ามีคนทำเหมือนทักษิณก็จะไม่ผิดใช่หรือไม่

  2. อยากรู้เช่นเดียวกันนะคะนายนิธิ ช่วยตอบคำถามตามข้อ Comment 1 ด้วย
    เสียดายความรู้ของคนเป็นอาจารย์ คุณธรรมหดหายเพราะเงินใช่ไหมคะอาจารย์

Comments are closed.